ภัยมืดจากอาวุธเคมีควบคุมมวลชน
Share this post on: Twitter Facebook
มนุษย์รู้จักนำเอาสารเคมีมาประยุกต์ใช้ในสงครามตั้งแต่ช่วง 500 ถึง 411 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งทิวซิดิดีส (Thucydides) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกได้ระบุถึงการใช้กำมะถันเป็นอาวุธเคมีในสงครามระหว่างสปาร์ตากับเอเธนส์หรือที่รู้จักกันดีในนามสงครามเพโลพอนนีซัส (The Peloponnesian War) [1] หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมองค์ความรู้ด้านการสังเคราะห์ทางเคมีได้ถูกพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ในการควบคุมมวลชนเช่นการนำเอา แก๊สน้ำตาคลอรีน (Chlorine) สารฟอสจีน (Phosgene) สารคลอโรพิคริน (Chloropicrin) สารแอแดมไซด์ (Adamsite) มาใช้ในช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง [2] นอกจากนี้ยังมีการนำเอาซารีน (Sarin) (Isopropylphosphonofluoridate) และแก๊สวีเอกซ์ (VX) ซึ่งจัดเป็นแก๊สที่มีความเป็นพิษสูง ในสภาวะปกติจะไร้สี ไร้กลิ่น สามารถละลายน้ำได้ดี มาใช้ในการสังหารหมู่ชาวยิวในค่ายกักกันนักโทษช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เพื่อป้องกันไม่ให้ชนชาติใดนำเอาอาวุธเคมีมาเป็นเครื่องมือในการประหัตประหารมนุษย์ด้วยกันนานาอารยะประเทศจึงได้มีการร่วมลงนามในพิธีสารเจนีวา (Geneva Protocol) ว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธสารเคมี [3] ในวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2468 แต่กระนั้นอาวุธเคมีได้ถูกนำมาใช้ในสงครามหลายต่อหลายแห่งรวมทั้งการก่อการร้ายโดยขบวนการคลั่งลัทธิโอม ชินริเคียว (Aum Shinrikyo) ซึ่งมีการนำเอาแก๊สซารีนมาก่อวินาศกรรมในรถไฟใต้ดินที่กรุงโตเกียวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 12 รายและผู้ได้รับบาดเจ็บอีกนับพัน
สำหรับแก๊สน้ำตา (Tear Gas หรือ Lachrymatory Agent) ซึ่งเป็นชื่อเรียกของกลุ่มสารเคมีเช่น สเปรย์พริกไทย (pepper spray) แก๊ส CS (2-chlorobenzalmalononitrile หรือ o-chlorobenzylidenemalononitrile สูตรเคมี C10H5ClN2) แก๊ส CR (dibenz[b,f][1,4]oxazepine สูตรเคมี C13H9NO) แก๊ส CN (ω-chloroacetophenone สูตรเคมี C6H5COCH2Cl) แม้ว่าจะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการเป็นอาวุธเคมีสำหรับควบคุมมวลชน แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าแก๊สน้ำตาเป็นอาวุธต้องห้ามตามข้อกำหนดในพิธีสารเจนีวา! แปลไทยให้เป็นไทยคือ แก๊สน้ำตาถูกห้ามไม่ให้ใช้ในสงครามแต่กลับถูกนำมาใช้ในการปราบปรามจลาจล ด้วยเหตุผลที่ว่ามันน่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพน้อยกว่าอาวุธเคมีชนิดอื่นเช่น แก๊สซารีน หรือ แก๊สวีเอกซ์ที่มีอานุภาพในการประหัตประหารสูงถึงขั้นนำมาใช้ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เป็นที่ทราบกันดีว่า อาการ ตาพร่ามัวมองไม่ชัด น้ำตาและน้ำมูกไหล จมูกบวมแดง ปากไหม้และระคายเคือง แน่นหน้าอก อาการหายใจถี่ ผิวหนังไหม้เป็นผื่น คลื่นไส้ อาเจียน [4] เหล่านี้คืออาการของผู้ป่วยที่สัมผัสกับแก๊สน้ำตาในระยะสั้น แม้อาวุธเคมีชนิดนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อหวังผลในการคร่าชีวิตผู้คนแต่ หากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากอาจทำให้ตาบอดสนิทได้และอาจถึงขั้นเสียชีวิตหากโดนกระสุนแก๊สน้ำตายิงเข้าใส่โดยตรงในวิถีแนวราบซึ่งผิดต่อหลักข้อบังคับสากลในการใช้อาวุธเคมีควบคุมมวลชน [5]
จากการที่ผู้เขียนได้พยายามทบทวนวรรณกรรมเพื่อสืบค้นข้อมูลหาหลักฐานเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวจากการสัมผัสกับแก๊สน้ำตาพบว่าข้อมูลมีจำนวนจำกัดเนื่องจาก
1.งานวิจัยส่วนใหญ่ได้รับเงินสนับสนุนจากบริษัทผู้ผลิตแก๊สน้ำตาซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงต่อผลงานวิจัยก่อให้เกิดความเคลือบแคลงในเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ในวิชาชีพของนักวิจัย ซึ่งข้อกั